วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ท้องทุ่งนา

ท้องทุ่งนาอันกว้างใหญ่ไพศาล
          สำหรับใครที่ต้องจากบ้านมาใช้ชีวิตวัยเรียนหรือทำงานในเมืองหลวง คงจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึก "คิดถึงบ้าน" โดยเฉพาะดินแดนที่ถูกเรียกว่า "บ้านนอก" ที่ซึ่งแม้จะไม่เจริญไปด้วยเทคโนโลยี สัญญาณ Wi-Fi หรือแม้กระทั่งไฟฟ้าที่เข้าไม่ถึง แต่ในที่เหล่านั้นเรามักจะพบกับความสุขใจที่แท้จริง...ความสุขใจที่เป็นความสุขภายในโดยไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยี การได้เห็นท้องทุ่งสีเขียวอยู่รอบตัว พร้อมสูดอากาศบริสุทธิ์ได้อย่างเต็มปอด ก็นับเป็นความสุขเล็ก ๆ ที่หาได้ง่าย ๆ ในบ้านนอกเพราะข้าพเจ้าเกิดและเติบโตมาท่ามกลางท้องไร่ท้องนา การได้เห็นภาพทุ่งนาเขียว ๆ มันทำให้หัวใจเบิกบานเสียเหลือเกิน อีสานบ้านข้าพเจ้านั้นทำนาปีครับ ต้องอาศัยน้ำฝน ปีไหนฝนดีก็มีเฮ ปีไหนฟ้าฝนแปรปรวนก็ทนทุกข์กันถ้วนหน้า ทุ่งนาเหล่านี้แหละครับที่เป็นตัวผลักดันให้ข้าพเจ้าขวนขวายตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ตอนเป็นเด็ก ข้าพเจ้าออกไปทำนากับพ่อแม่แดดร้อนมาก ก้มทำนาปวดหลัง กว่าจะดำนาเสร็จ ปวดเมื่อยมากๆเลยตั้งใจว่าอยากช่วยชาวนาให้มีความเป็นอยู่ที่ดีบ้าง  พอข้าพเจ้าได้อ่านบทกลอน
           ของ จิตร ภูมิศักดิ์ ที่ว่า
           "เปิบข้าวทุกคราวคำ จงสูจำเป็นอาจิณ เหงื่อกูที่สูกิน จึงก่อเกิดมาเป็นคน"
           ข้าพเจ้าเข้าใจดีเลยว่ามันจริงแค่ไหน กว่าจะได้ข้าวมาเนี่ยเสียเหงื่อเสียพลังงานไปเยอะมากขนาดไหน ทุกวันนี้พวกเรามีข้าวกินทุกมื้อได้ก็เพราะว่าชาวนานี้แหละ เราต้องขอขอบคุณชาวนาที่ทำนาปลูกข้าวให้พวกเราได้กินกันอย่างอิ่มหนำสำราญ  ข้าพเจ้าคิดว่าทำอย่างไรก็ได้ที่ตอบแทนบุญคุณชาวนา คือ การกินข้าวให้หมดเกลี้ยงจาน ไม่กินทิ้ง กินขว้าง เป็นการสำนึกในการที่ชาวนาทำนาปลูกข้าวอย่างเหนื่อยล้า เพื่อให้เรามีข้าวกินอย่างสมบูรณ์พูลสุขได้เป็นอย่างดี

            ดังนั้น การทำนา ปลูกข้าวให้คนกิน จึงเป็นอาชีพที่ทรงเกียรติ ที่ทำให้เรานั้นมีข้าวกินกันอย่างอุดมสมบูรณ์ และยังมีกินมีใช้ มีเงินเรียนหนังสือ ส่งลูกได้เรียนสูงๆ มีการศึกษาที่เหมือนๆกับคนอื่นได้เป็นอย่างดี จึงต้องให้ความสำคัญต่อการทำนาและปลูกข้าวเป็นอย่างยิ่ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น