วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2559

เหรียญพัดยศ

เหรียญพัดยศ
           ธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง  มีความละเอียดลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากขณะนี้เลย ทุกขณะเป็นธรรม  ทุกขณะมีธรรมเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอดเวลา ทั้งจิต(สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์)  เจตสิก(สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต)  และ รูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร   ไม่ใช่สภาพรู้)   เป็นสภาพธรรมแต่ละหนึ่ง ๆ  ไม่ปะปนกันทางที่จะให้จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์  มี  ๖ ทาง คือ  ทางตา ทางหู  ทางจมูก  ทางลิ้นทางกาย   และทางใจ  เมื่อจิตเกิดขึ้นรับรู้อารมณ์ทางตา   ทางหู    ทางจมูก    ทางลิ้น  ทางกายแล้ว   ก็มีการคิดนึกต่อทางใจ  หรือในบางครั้งบางขณะ แม้ไม่ได้เห็นไม่ได้ยิน เป็นต้น  ก็คิดนึกได้   นี้คือความเป็นจริงของสภาพธรรม  ที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ใคร ๆ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้  และ จิตบางประเภทก็เกิดขึ้นโดยไม่อาศัยทวารหนึ่งทวารใดเลยก็มี  ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน ๓ ประเภท คือ ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต และจุติจิต  ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นจิตประเภทใด    อาศัยทวารหรือไม่ได้อาศัยทวาร  ก็ตามเมื่อเกิดขึ้นก็จะมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง ตามสมควรแก่ประเภทของจิต  และเจตสิกที่ต้องเกิดร่วมกันกับจิตทุกขณะ มี ๗ ประเภท  หนึ่งในนั้น คือ  ผัสสเจตสิก    ซึ่งเป็นเจตสิกที่กระทบกับอารมณ์ที่จิตรู้   ที่กล่าวมานั้น  ไม่ว่าจะได้เห็นได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส  รู้สิ่งทีกระทบสัมผัสทางกาย และ คิดนึก ทางใจ ล้วนเป็นธรรม ทั้งสิ้น  ไม่มีตัวตนสัตว์บุคคลเลย 
     การที่คิดว่าว่าตนเองรู้อะไรล่วงหน้า  ก็ไม่พ้นไปจากความคิด  ซึ่งอาจจะถูกบ้าง ผิดบ้าง  ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่สำคัญอะไร  ต่อให้รู้ว่าในอนาคตข้างหน้าอะไรจะเกิดขึ้น  คนนั้นคนนี้จะมีชีวิตเป็นไปอย่างไร  แต่ไม่มีปัญญาไม่ได้เข้าใจธรรม แม้แต่ในขณะที่คิดก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ไม่ได้รู้สภาพธรรมใด ๆ ตามความเป็นจริงเลย  ย่อมไม่สามารถที่จะพ้นไปจากทุกข์ได้    ก็ยังเต็มไปด้วยความไม่รู้ ความสำคัญตน และอกุศลธรรมประการต่าง ๆ ดังนั้น  กิจที่ควรทำอย่างยิ่ง    ก็คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้สภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏตามความเป็นจริง  สิ่งที่ควรรู้  ก็คือ ธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ครับ   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น