เหรียญพัดยศ |
ธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีความละเอียดลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากขณะนี้เลย ทุกขณะเป็นธรรม ทุกขณะมีธรรมเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอดเวลา ทั้งจิต(สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก(สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) และ รูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร ไม่ใช่สภาพรู้) เป็นสภาพธรรมแต่ละหนึ่ง ๆ ไม่ปะปนกันทางที่จะให้จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ มี ๖ ทาง คือ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้นทางกาย และทางใจ เมื่อจิตเกิดขึ้นรับรู้อารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายแล้ว ก็มีการคิดนึกต่อทางใจ หรือในบางครั้งบางขณะ แม้ไม่ได้เห็นไม่ได้ยิน เป็นต้น ก็คิดนึกได้ นี้คือความเป็นจริงของสภาพธรรม ที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ใคร ๆ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ และ จิตบางประเภทก็เกิดขึ้นโดยไม่อาศัยทวารหนึ่งทวารใดเลยก็มี ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน ๓ ประเภท คือ ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต และจุติจิต ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นจิตประเภทใด อาศัยทวารหรือไม่ได้อาศัยทวาร ก็ตามเมื่อเกิดขึ้นก็จะมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง ตามสมควรแก่ประเภทของจิต และเจตสิกที่ต้องเกิดร่วมกันกับจิตทุกขณะ มี ๗ ประเภท หนึ่งในนั้น คือ ผัสสเจตสิก ซึ่งเป็นเจตสิกที่กระทบกับอารมณ์ที่จิตรู้ ที่กล่าวมานั้น ไม่ว่าจะได้เห็นได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งทีกระทบสัมผัสทางกาย และ คิดนึก ทางใจ ล้วนเป็นธรรม ทั้งสิ้น ไม่มีตัวตนสัตว์บุคคลเลย
การที่คิดว่าว่าตนเองรู้อะไรล่วงหน้า ก็ไม่พ้นไปจากความคิด ซึ่งอาจจะถูกบ้าง ผิดบ้าง ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่สำคัญอะไร ต่อให้รู้ว่าในอนาคตข้างหน้าอะไรจะเกิดขึ้น คนนั้นคนนี้จะมีชีวิตเป็นไปอย่างไร แต่ไม่มีปัญญาไม่ได้เข้าใจธรรม แม้แต่ในขณะที่คิดก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ไม่ได้รู้สภาพธรรมใด ๆ ตามความเป็นจริงเลย ย่อมไม่สามารถที่จะพ้นไปจากทุกข์ได้ ก็ยังเต็มไปด้วยความไม่รู้ ความสำคัญตน และอกุศลธรรมประการต่าง ๆ ดังนั้น กิจที่ควรทำอย่างยิ่ง ก็คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้สภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏตามความเป็นจริง สิ่งที่ควรรู้ ก็คือ ธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น